E-Tax Invoice คืออะไร? ใช้อย่างไร เตรียมพร้อมธุรกิจสู่ระบบภาษีดิจิทัล
- ANGA Analytics
- 30 พ.ค.
- ยาว 3 นาที
ในยุคที่เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีบทบาทสำคัญในทุกภาคส่วน ไม่เว้นแม้แต่ระบบภาษีของประเทศไทยเรา ผู้ประกอบการหลายท่านจึงเริ่มให้ความสนใจว่า E-Tax คืออะไร และจะนำมาปรับใช้กับธุรกิจของตนเองได้อย่างไร เพื่อให้ก้าวทันการเปลี่ยนแปลง ลดขั้นตอนที่ซับซ้อน และเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการเอกสารทางภาษี บทความนี้ Mac-5 Legacy จึงอยากพาคุณไปทำความเข้าใจเรื่อง E-Tax Invoice อย่างละเอียด พร้อมอัปเดตข้อมูลสำคัญล่าสุดสำหรับปี 2568 นี้ ที่ผู้ประกอบการไม่ควรพลาด
E-Tax Invoice คืออะไร?
E-Tax Invoice หรือ ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ คือ ใบกำกับภาษี (รวมถึงใบเพิ่มหนี้ ใบลดหนี้ และใบรับ) ที่จัดทำขึ้นในรูปแบบข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ เช่น ไฟล์ PDF/A-3, XML หรือรูปแบบอื่นใดที่กรมสรรพากรกำหนด โดยจะต้องมีการลงลายมือชื่อดิจิทัล (Digital Signature) หรือมีการประทับรับรองเวลา (Time Stamp) ผ่านระบบที่เชื่อถือได้ เพื่อยืนยันความถูกต้องและความสมบูรณ์ของเอกสาร E-Tax Invoice มีผลทางกฎหมายเช่นเดียวกับใบกำกับภาษีแบบกระดาษ และเป็นส่วนหนึ่งของโครงการพัฒนาระบบการจัดทำและนำส่งข้อมูลใบกำกับภาษีและใบรับอิเล็กทรอนิกส์ (E-Tax Invoice & e-Receipt) ของกรมสรรพากร เพื่อผลักดันประเทศไทยสู่สังคมดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ
ประโยชน์ของ E-Tax Invoice
การเปลี่ยนมาใช้ E-Tax Invoice มอบประโยชน์ให้กับผู้ประกอบการในหลายด้าน ดังนี้
ลดต้นทุนการดำเนินงาน ประหยัดค่ากระดาษ ค่าพิมพ์ ค่าจัดส่งเอกสาร และค่าจัดเก็บเอกสารในระยะยาว
เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ลดขั้นตอนการจัดทำ จัดส่ง และจัดเก็บเอกสาร ลดความผิดพลาดจากการทำงานด้วยมือ
ความรวดเร็วในการรับ-ส่งเอกสาร สามารถส่งใบกำกับภาษีให้คู่ค้าได้ทันทีผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์
เพิ่มความน่าเชื่อถือและความโปร่งใส เอกสารอิเล็กทรอนิกส์มีการเข้ารหัสและลายมือชื่อดิจิทัล ปลอมแปลงได้ยาก
ง่ายต่อการค้นหาและตรวจสอบ สามารถค้นหาเอกสารย้อนหลังได้ง่าย สะดวกต่อการตรวจสอบทั้งภายในองค์กรและโดยกรมสรรพากร
สนับสนุนการทำธุรกรรมออนไลน์ (E-Commerce) สอดคล้องกับการค้าขายในยุคดิจิทัล
เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ลดการใช้กระดาษ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน
เตรียมพร้อมสู่ระบบบัญชีดิจิทัลเต็มรูปแบบ ปูทางสู่การใช้ระบบและเทคโนโลยีอื่น ๆ ในอนาคต
เปรียบเทียบ ใบกำกับภาษีแบบกระดาษ กับใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ แตกต่างกันอย่างไร?

ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดระหว่างใบกำกับภาษีแบบกระดาษและใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (E-Tax Invoice) คือ รูปแบบการจัดทำและการนำส่ง โดยใบกำกับภาษีแบบกระดาษจะอยู่ในรูปเอกสารที่จับต้องได้ ต้องมีการลงลายมือชื่อด้วยมือ และจัดส่งทางไปรษณีย์หรือส่งมอบโดยตรง ซึ่งมีขั้นตอนและค่าใช้จ่ายในการจัดการค่อนข้างสูง ในขณะที่ E-Tax Invoice จะอยู่ในรูปแบบไฟล์อิเล็กทรอนิกส์ มีการลงลายมือชื่อดิจิทัลเพื่อยืนยันตัวตนผู้ออกและรับรองความถูกต้องของเอกสาร สามารถจัดส่งผ่านอีเมลหรือระบบออนไลน์ได้ทันที ทำให้ลดทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย นอกจากนี้ การจัดเก็บและค้นหาก็ทำได้ง่ายกว่ามากเมื่อเทียบกับการจัดเก็บเอกสารกระดาษจำนวนมหาศาล
รวมเอกสารสำคัญ ที่แปลงเป็นอิเล็กทรอนิกส์นำส่งกรมสรรพากรได้
ภายใต้ระบบ E-Tax Invoice & E-Receipt ของกรมสรรพากร เอกสารสำคัญทางภาษีที่ผู้ประกอบการสามารถจัดทำในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์และนำส่งข้อมูลให้กรมสรรพากรได้นั้น ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ใบกำกับภาษีเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเอกสารอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่
ใบกำกับภาษี (Tax Invoice / Invoice) ทั้งแบบเต็มรูปและแบบอย่างย่อ
ใบเพิ่มหนี้ (Debit Note)
ใบลดหนี้ (Credit Note)
ใบรับ (Receipt) หรือใบเสร็จรับเงิน
การจัดทำเอกสารเหล่านี้ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ จะช่วยให้การบริหารจัดการเอกสารทางบัญชีและภาษีเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นระบบเดียวกันมากยิ่งขึ้น
E-Tax Invoice จำเป็นต้องจัดทำเข้าระบบทุกคนหรือไม่?
ณ ปี 2568 การจัดทำ E-Tax Invoice ยังคงเป็นภาคสมัครใจสำหรับผู้ประกอบการส่วนใหญ่ กรมสรรพากรส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เข้าร่วมโครงการ อย่างไรก็ตาม มีแนวโน้มว่าในอนาคตอาจมีการกำหนดให้ผู้ประกอบการบางกลุ่มหรือบางประเภทธุรกิจจำเป็นต้องจัดทำ E-Tax Invoice มากขึ้น โดยเฉพาะบริษัทขนาดใหญ่หรือผู้ที่มีปริมาณธุรกรรมสูง การเตรียมความพร้อมและเริ่มปรับตัวเข้าสู่ระบบ E-Tax Invoice ตั้งแต่เนิ่น ๆ จึงเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจในการปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงทางกฎหมายและเทคโนโลยีในอนาคต
ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ จะต้องมีรายละเอียดอะไรบ้าง?

E-Tax Invoice จะต้องมีรายการและรายละเอียดครบถ้วนตามที่ประมวลรัษฎากรกำหนดไว้สำหรับใบกำกับภาษี เช่นเดียวกับใบกำกับภาษีแบบกระดาษ ซึ่งโดยทั่วไปประกอบด้วย
มีคำว่า "ใบกำกับภาษี" อย่างชัดเจน
มีชื่อ ที่อยู่ และเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรของผู้ขาย
มีชื่อ ที่อยู่ ของผู้ซื้อ
(ถ้ามี) หมายเลขลำดับของใบกำกับภาษี และหมายเลขลำดับของเล่ม
มีชื่อ ชนิด ประเภท ปริมาณ และมูลค่าของสินค้าหรือบริการ
มีจำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มที่คำนวณจากมูลค่าของสินค้าหรือบริการ โดยให้แยกออกจากมูลค่าของสินค้าหรือบริการอย่างชัดแจ้ง
มีวัน เดือน ปี ที่ออกใบกำกับภาษี
มีข้อความอื่นที่อธิบดีกรมสรรพากรกำหนด
สำหรับ E-Tax Invoice จะต้องมีการประทับรับรองเวลา (Time Stamp) และ/หรือ การลงลายมือชื่อดิจิทัล (Digital Signature) เพื่อรับรองความถูกต้องและแหล่งที่มาของเอกสาร
วิธีการเปลี่ยนใบกำกับภาษีในรูปแบบเอกสาร ให้เป็นใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์
การเปลี่ยนจากการออกใบกำกับภาษีแบบกระดาษมาเป็น E-Tax Invoice ไม่ใช่การสแกนเอกสารกระดาษแล้วส่ง แต่เป็นการสร้างเอกสารขึ้นใหม่ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ตามมาตรฐานที่กรมสรรพากรกำหนด โดยมีขั้นตอนหลัก ๆ ดังนี้
ศึกษาข้อมูลและเลือกรูปแบบระบบ ทำความเข้าใจระบบ E-Tax Invoice & E-Receipt และเลือกระบบย่อยที่เหมาะสมกับขนาดและประเภทธุรกิจ เช่น E-Tax Invoice by Email, Service Provider, Host-to-Host
เตรียมความพร้อมขององค์กร จัดเตรียมซอฟต์แวร์บัญชีหรือ โปรแกรม ERP ที่รองรับการสร้าง E-Tax Invoice, จัดหาใบรับรองลายมือชื่อดิจิทัล (Digital Certificate) และอบรมบุคลากรที่เกี่ยวข้อง
สมัครเข้าร่วมโครงการ ลงทะเบียนและยื่นคำขอเข้าร่วมโครงการ E-Tax Invoice & E-Receipt กับกรมสรรพากร
ทดสอบระบบ ทำการทดสอบการสร้าง จัดส่ง และนำส่งข้อมูล E-Tax Invoice กับระบบของกรมสรรพากร
เริ่มใช้งานจริง เมื่อผ่านการทดสอบและได้รับการอนุมัติ ก็สามารถเริ่มออก E-Tax Invoice ให้กับคู่ค้าได้
E-Tax Invoice มีทั้งหมดกี่รูปแบบ ใช้แตกต่างกันอย่างไร?

ระบบ E-Tax Invoice & E-Receipt ของกรมสรรพากร มีช่องทางหรือรูปแบบให้ผู้ประกอบการเลือกใช้ตามความเหมาะสมของขนาดและปริมาณธุรกรรม ดังนี้
1. E-Tax Invoice by Email (เดิมเรียกว่า e-Tax Invoice & e-Receipt by Email)
เป็นรูปแบบที่เหมาะสำหรับผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดกลางที่มีปริมาณการออกใบกำกับภาษีไม่มากนัก ผู้ประกอบการสามารถจัดทำใบกำกับภาษีในรูปแบบไฟล์ PDF/A-3 ที่มีการลงลายมือชื่อดิจิทัล (Digital Signature) ของตนเอง หรือใช้การประทับรับรองเวลา (Time Stamp) จากผู้ให้บริการที่ได้รับอนุญาต เช่น ETDA แล้วส่งให้ผู้ซื้อทางอีเมล พร้อมสำเนา (CC) ให้ระบบกลางของกรมสรรพากร
2. การใช้บริการผ่านผู้ให้บริการ (Service Provider)
เหมาะสำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการความสะดวกและมีผู้เชี่ยวชาญดูแล โดยผู้ประกอบการสามารถส่งข้อมูลให้ Service Provider ที่ได้รับอนุญาตจากกรมสรรพากร เพื่อให้ Service Provider เป็นผู้จัดทำและนำส่งข้อมูล E-Tax Invoice ในนามของผู้ประกอบการไปยังกรมสรรพากรและคู่ค้า
3. การเชื่อมต่อโดยตรงกับกรมสรรพากร (Host-to-Host)
เป็นรูปแบบที่เหมาะสำหรับผู้ประกอบการขนาดใหญ่ที่มีปริมาณการออกใบกำกับภาษีจำนวนมาก และมีระบบสารสนเทศที่แข็งแกร่ง สามารถพัฒนาการเชื่อมต่อระบบของตนเองเข้ากับระบบของกรมสรรพากรโดยตรงเพื่อนำส่งข้อมูล XML File ตามมาตรฐานที่กำหนด
ใครยื่นคำขอ E-Tax Invoice & E-Receipt ได้บ้าง
ผู้ประกอบการที่มีสิทธิยื่นคำขอจัดทำและนำส่งข้อมูลใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (E-Tax Invoice) และใบรับอิเล็กทรอนิกส์ (E-Receipt) ได้แก่
ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT Registrant)
บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หรือนิติบุคคลอื่น
ผู้ประกอบการที่จดทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD)
มีใบรับรองอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Certificate) หรือลายมือชื่อดิจิทัล (Digital Signature) ที่ออกโดยผู้ให้บริการออกใบรับรองอิเล็กทรอนิกส์ (Certification Authority - CA) ที่ สพธอ. หรือ ETDA รับรอง
มีระบบงานที่สามารถจัดทำและนำส่งข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ตามรูปแบบและมาตรฐานที่กรมสรรพากรกำหนด
วิธีการนำส่งข้อมูลให้กรมสรรพากร
วิธีการนำส่งข้อมูล E-Tax Invoice ให้กรมสรรพากรจะแตกต่างกันไปตามรูปแบบระบบที่ผู้ประกอบการเลือกใช้
E-Tax Invoice by Email ส่งอีเมลไฟล์ PDF/A-3 ที่มีลายมือชื่อดิจิทัลหรือ Time Stamp ให้ผู้ซื้อ และ CC อีเมลไปยังระบบกลางของกรมสรรพากร (csemail@etax.rd.go.th)
Service Provider ผู้ให้บริการจะเป็นผู้นำส่งข้อมูล XML File ในนามของผู้ประกอบการไปยังระบบของกรมสรรพากร
Host-to-Host ผู้ประกอบการนำส่งข้อมูล XML File ผ่านช่องทางเชื่อมต่อโดยตรง เช่น SFTP, Web Service API ที่ได้ตกลงไว้กับกรมสรรพากร
Web Portal (สำหรับบางกรณี) ผู้ประกอบการรายย่อยบางรายอาจสามารถอัปโหลดข้อมูลผ่าน Web Portal ของกรมสรรพากรได้โดยตรง
จะเข้าร่วมระบบ E-Tax Invoice by Email ต้องลงทะเบียนอย่างไร?
สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจเข้าร่วมระบบ E-Tax Invoice by Email ซึ่งเป็นช่องทางที่ค่อนข้างสะดวกสำหรับ SME มีขั้นตอนการลงทะเบียนหลัก ๆ ดังนี้
ตรวจสอบคุณสมบัติ ผู้ประกอบการต้องเป็นนิติบุคคลและจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
เตรียมใบรับรองอิเล็กทรอนิกส์ จัดหา Digital Certificate จาก CA ที่ สพธอ. (ETDA) รับรอง (หากต้องการลงลายมือชื่อดิจิทัลเอง) หรือเตรียมใช้บริการ Time Stamp
ลงทะเบียนผ่านระบบออนไลน์ เข้าสู่เว็บไซต์ของกรมสรรพากร หรือเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับ E-Tax Invoice by Email เพื่อกรอกแบบฟอร์มคำขอ เช่น แบบ บ.อ.01
แนบเอกสารประกอบ เตรียมเอกสารตามที่กรมสรรพากรกำหนด เช่น หนังสือรับรองบริษัท, ภ.พ.20
รอการอนุมัติ กรมสรรพากรจะตรวจสอบคำขอและแจ้งผลการอนุมัติ
8 ขั้นตอนในการยื่นขอเข้าร่วมระบบ E-Tax Invoice by Email

เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น สำหรับการขอเข้าร่วมระบบ E-Tax Invoice by Email มีขั้นตอนโดยสังเขปดังนี้
1. ศึกษาหลักเกณฑ์และเงื่อนไข
ก่อนเริ่มต้นกระบวนการใด ๆ ผู้ประกอบการควรศึกษาและทำความเข้าใจข้อกำหนด คุณสมบัติของผู้มีสิทธิเข้าร่วมโครงการ และประเภทเอกสารที่ต้องใช้สำหรับการลงทะเบียน E-Tax Invoice by Email อย่างละเอียด ข้อมูลเหล่านี้สามารถค้นหาได้จากเว็บไซต์ของกรมสรรพากร หรือสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ. หรือ ETDA) การทำความเข้าใจหลักเกณฑ์ทั้งหมดจะช่วยให้การเตรียมตัวเป็นไปอย่างราบรื่นและลดโอกาสที่คำขอจะถูกปฏิเสธ ควรตรวจสอบว่าธุรกิจของคุณมีคุณสมบัติตรงตามที่กำหนดหรือไม่ เช่น เป็นนิติบุคคลจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม และมีความพร้อมในการจัดทำเอกสารตามรูปแบบที่กำหนด
2. จัดเตรียมใบรับรองลายมือชื่อดิจิทัล (ถ้าเลือกใช้)
หากผู้ประกอบการเลือกที่จะลงลายมือชื่อดิจิทัล (Digital Signature) บนไฟล์ PDF/A-3 ด้วยตนเอง เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือและความปลอดภัยของเอกสาร จะต้องดำเนินการขอใบรับรองอิเล็กทรอนิกส์ (Digital Certificate) จากผู้ให้บริการออกใบรับรองอิเล็กทรอนิกส์ (Certification Authority - CA) ที่ได้รับการรับรองจาก สพธอ. (ETDA) ซึ่งกระบวนการนี้อาจต้องใช้เวลาในการตรวจสอบและอนุมัติ ควรศึกษาประเภทของใบรับรองที่เหมาะสมกับองค์กร รวมถึงค่าใช้จ่ายและระยะเวลาการใช้งานของใบรับรองนั้น ๆ อีกทางเลือกหนึ่งคือการใช้บริการประทับรับรองเวลา (Time Stamp) จากผู้ให้บริการที่ได้รับอนุญาต ซึ่งอาจมีขั้นตอนการเตรียมการที่แตกต่างกัน
3. เตรียมข้อมูลและเอกสารบริษัท
รวบรวมข้อมูลและเอกสารสำคัญของบริษัทให้พร้อมสำหรับการยื่นคำขอ เอกสารที่มักจะต้องใช้ ยกตัวอย่างเช่น หนังสือรับรองการจดทะเบียนนิติบุคคล (ไม่ควรเกิน 6 เดือน), ใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.20), สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้มีอำนาจลงนามของบริษัท, หนังสือมอบอำนาจ (กรณีให้บุคคลอื่นดำเนินการแทน) พร้อมติดอากรแสตมป์และแนบสำเนาบัตรประชาชนของผู้มอบอำนาจและผู้รับมอบอำนาจ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเอกสารทุกฉบับมีความชัดเจน เป็นปัจจุบัน และได้รับการรับรองสำเนาถูกต้อง (หากจำเป็น)
4. เข้าสู่ระบบยื่นคำขอออนไลน์
การยื่นคำขอเข้าร่วมโครงการ E-Tax Invoice by Email ส่วนใหญ่มักจะดำเนินการผ่านระบบออนไลน์ของกรมสรรพากร เช่น ระบบ E-Filing หรือระบบบริการอิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ ที่กรมสรรพากรหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ETDA สำหรับบางบริการ จัดเตรียมไว้โดยเฉพาะ ผู้ประกอบการจะต้องมีบัญชีผู้ใช้งานสำหรับระบบนั้น ๆ หากยังไม่มี อาจต้องดำเนินการสมัครสมาชิกก่อน ซึ่งอาจต้องใช้ข้อมูลและเอกสารบางส่วนในการยืนยันตัวตน ควรตรวจสอบว่าคอมพิวเตอร์และการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตมีความพร้อมสำหรับการทำธุรกรรมออนไลน์
5. กรอกแบบคำขอให้ครบถ้วน
เมื่อเข้าสู่ระบบแล้ว ให้ค้นหาแบบฟอร์มคำขอเข้าร่วมโครงการ E-Tax Invoice & e-Receipt ตัวอย่างเช่น แบบ บ.อ.01 สำหรับการยื่นผ่านระบบของกรมสรรพากร และกรอกข้อมูลในแบบฟอร์มให้ถูกต้องครบถ้วนทุกช่อง โดยเฉพาะข้อมูลสำคัญ เช่น ชื่อผู้ประกอบการ, เลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากร, ที่อยู่, ข้อมูลผู้มีอำนาจลงนาม, และรายละเอียดการติดต่อ (เบอร์โทรศัพท์, อีเมล) ที่จะใช้ในการรับส่งข้อมูล E-Tax Invoice ควรตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่กรอกอีกครั้งก่อนไปยังขั้นตอนถัดไป เพราะข้อมูลที่ผิดพลาดอาจทำให้กระบวนการล่าช้าได้
6. อัปโหลดเอกสารประกอบ
หลังจากกรอกข้อมูลในแบบคำขอเรียบร้อยแล้ว ระบบจะให้ผู้ประกอบการอัปโหลดไฟล์เอกสารประกอบที่ได้เตรียมไว้ตามข้อ 3 ในรูปแบบดิจิทัล เช่น ไฟล์ PDF จากนั้นตรวจสอบให้แน่ใจว่าไฟล์เอกสารที่อัปโหลดมีความชัดเจน อ่านได้ง่าย และเป็นไปตามรูปแบบและขนาดไฟล์ที่ระบบกำหนด ควรตั้งชื่อไฟล์ให้สื่อความหมายเพื่อง่ายต่อการจัดการ และตรวจสอบว่าได้อัปโหลดเอกสารครบถ้วนตามที่กรมสรรพากรร้องขอหรือไม่ การเตรียมไฟล์ให้พร้อมล่วงหน้าจะช่วยให้ขั้นตอนนี้รวดเร็วขึ้น
7. ตรวจสอบความถูกต้องและยืนยันการส่งคำขอ
ก่อนที่จะกดยืนยันการส่งคำขอ (Submit) ขั้นสุดท้าย ควรใช้เวลาตรวจสอบข้อมูลที่กรอกในแบบฟอร์มและรายการเอกสารที่อัปโหลดทั้งหมดอย่างละเอียดอีกครั้ง เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีข้อผิดพลาดหรือข้อมูลที่ขาดหายไป เมื่อแน่ใจว่าทุกอย่างถูกต้องครบถ้วนแล้ว จึงกดยืนยันการส่งคำขอ ระบบส่วนใหญ่มักจะมีการแสดงสรุปข้อมูลทั้งหมดให้ตรวจสอบเป็นครั้งสุดท้าย ผู้ประกอบการควรบันทึกหรือพิมพ์หน้ารายการที่ยื่นคำขอสำเร็จแล้ว พร้อมทั้งหมายเลขอ้างอิงการทำรายการ (Reference Number) ไว้เป็นหลักฐาน
8. ติดตามสถานะและรอรับการอนุมัติ
หลังจากส่งคำขอเรียบร้อยแล้ว ผู้ประกอบการสามารถติดตามสถานะการพิจารณาคำขอได้ผ่านช่องทางที่กรมสรรพากรกำหนด ซึ่งอาจเป็นการตรวจสอบผ่านระบบออนไลน์โดยใช้หมายเลขอ้างอิง หรือรอรับการแจ้งผลทางอีเมลหรือจดหมาย ระยะเวลาในการพิจารณาอาจแตกต่างกันไป หากมีข้อมูลที่ไม่ชัดเจนหรือเอกสารไม่ครบถ้วน เจ้าหน้าที่อาจติดต่อกลับเพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติม เมื่อกรมสรรพากรพิจารณาอนุมัติแล้ว จะมีการแจ้งผลให้ทราบอย่างเป็นทางการ หลังจากนั้นผู้ประกอบการจึงจะสามารถเริ่มจัดทำและนำส่ง E-Tax Invoice by Email ตามระเบียบที่กำหนดได้
สรุปบทความ

ในปี 2568 นี้ การทำความเข้าใจว่า E-Tax คืออะไร และการปรับตัวเข้าสู่ระบบใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (E-Tax Invoice) ถือเป็นก้าวสำคัญที่ธุรกิจจะมองข้ามไม่ได้เลย เพราะนอกจากจะช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานแล้ว ยังเป็นการเตรียมธุรกิจให้พร้อมสำหรับการทำธุรกรรมในยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบอีกด้วย ดังนั้น การเลือกใช้เครื่องมือและระบบที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณจึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมาก
ที่ Mac-5 Legacy เราเข้าใจถึงความซับซ้อนและความท้าทายในการปรับเปลี่ยนระบบงานบัญชีและภาษี เราจึงพัฒนาระบบ ERP หรือ โปรแกรม ERP ขึ้นมาสำหรับธุรกิจไทยโดยเฉพาะ Mac-5 Legacy ERP ได้รับการออกแบบมาเพื่อรองรับการจัดทำ E-Tax Invoice อย่างเต็มรูปแบบ ช่วยให้คุณสามารถสร้าง จัดการ และนำส่งข้อมูลใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ได้อย่างถูกต้องตามมาตรฐานกรมสรรพากร เชื่อมโยงข้อมูลจากระบบขาย บัญชี และคลังสินค้าได้อย่างราบรื่น ลดความซ้ำซ้อน และมั่นใจได้ในความปลอดภัยของข้อมูล
เรามีแพ็กเกจและราคาที่ยืดหยุ่น รองรับทุกขนาดธุรกิจ พร้อมทีมงานมืออาชีพที่คอยให้คำปรึกษาและบริการอย่างเต็มที่ เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านสู่ระบบ E-Tax Invoice เป็นไปอย่างราบรื่นและเกิดประโยชน์สูงสุด
ปรึกษา MAC-5 Legacy และเยี่ยมชมเว็บไซต์เพิ่มเติมได้ที่ https://www.mac5legacy.com/digitaltransformation
ความคิดเห็น