ติดในส่วนเปิด tag
top of page

ภาษีมูลค่าเพิ่มคืออะไร สรุปฉบับเข้าใจง่ายสำหรับผู้ประกอบการ

  • ANGA Analytics
  • 4 วันที่ผ่านมา
  • ยาว 2 นาที
ภาษีมูลค่าเพิ่มคืออะไร

สำหรับผู้ประกอบการทุกคน คำว่า ภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT (Value Added Tax) คือสิ่งที่คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นตอนซื้อของเข้าร้านหรือตอนขายสินค้าออกไป ภาษี 7% นี้จะปรากฏให้เห็นอยู่เสมอ แต่สำหรับเจ้าของธุรกิจที่กำลังเติบโต คำถามสำคัญคือ เมื่อไหร่ที่ธุรกิจของเราต้องเข้าไปอยู่ในระบบภาษีมูลค่าเพิ่มนี้อย่างเต็มตัว การทำความเข้าใจหลักเกณฑ์และหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้ธุรกิจสามารถดำเนินไปได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายและหลีกเลี่ยงบทลงโทษที่อาจตามมา บทความนี้จะสรุปทุกประเด็นสำคัญเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้ประกอบการจำเป็นต้องรู้


ภาษีมูลค่าเพิ่มคืออะไร

ภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT คือภาษีประเภทหนึ่งที่กรมสรรพากรจัดเก็บจากมูลค่าของสินค้าหรือบริการส่วนที่ "เพิ่มขึ้น" ในแต่ละขั้นตอนของการผลิตและการจำหน่าย ทั้งสินค้าที่ผลิตในประเทศและสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ โดยหลักการคือ ผู้ประกอบการจะทำหน้าที่เป็นผู้เก็บภาษีนี้จากลูกค้า (เรียกว่า "ภาษีขาย") แล้วนำส่งให้กรมสรรพากร หลังจากหักลบกับภาษีมูลค่าเพิ่มที่ตนเองได้จ่ายไปตอนซื้อสินค้าหรือวัตถุดิบ (เรียกว่า "ภาษีซื้อ") ในปัจจุบัน อัตราภาษีมูลค่าเพิ่มของประเทศไทยถูกกำหนดไว้ที่ 7%


ใครบ้างที่ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม


ใครบ้างที่ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม

กฎหมายกำหนดไว้อย่างชัดเจนว่า ผู้ประกอบการที่มีรายรับจากการขายสินค้าหรือให้บริการที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกินกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี มีหน้าที่ต้องยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (ยื่นแบบ ภ.พ.01) ภายใน 30 วันนับแต่วันที่มีรายรับเกิน 1.8 ล้านบาท สิ่งสำคัญที่ต้องเน้นย้ำคือ การนับรายได้ 1.8 ล้านบาทนี้ จะนับเฉพาะรายได้ที่อยู่ในข่ายต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเท่านั้น และไม่ว่าธุรกิจของคุณจะดำเนินงานในรูปแบบบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล หากเข้าเกณฑ์นี้ก็มีหน้าที่ต้องจดทะเบียนเช่นเดียวกัน 


นอกจากนี้ ผู้ประกอบการที่วางแผนโครงการขนาดใหญ่ เช่น ก่อสร้างโรงงาน และจำเป็นต้องซื้อสินค้าหรือบริการที่เกี่ยวข้องกับภาษีมูลค่าเพิ่ม ก็สามารถยื่นขอจดทะเบียนล่วงหน้าได้ 6 เดือนก่อนเริ่มประกอบกิจการ เพื่อให้สามารถใช้สิทธิภาษีซื้อได้


กรณีที่ได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม

แม้ว่าภาษีมูลค่าเพิ่มจะครอบคลุมธุรกิจส่วนใหญ่ แต่ก็มีกิจการบางประเภทที่กฎหมายกำหนดให้ "ได้รับการยกเว้น" ภาษีมูลค่าเพิ่ม ได้แก่

  • ผู้ประกอบกิจการที่ขายพืชผลทางการเกษตร สัตว์ทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต ปุ๋ย และอาหารสัตว์

  • ผู้ประกอบกิจการที่ขายหนังสือพิมพ์ นิตยสาร และตำราเรียน

  • ผู้ประกอบกิจการที่ให้บริการขนส่งในไทย

  • ผู้ประกอบกิจการที่ส่งออกของในเขตอุตสาหกรรมส่งออก

  • ผู้ประกอบกิจการที่ให้บริการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงทางท่อในไทย


หน้าที่ของผู้ประกอบการหลังจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม

เมื่อผู้ประกอบการได้จดทะเบียนและเข้าไปอยู่ในระบบภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว จะมีหน้าที่สำคัญที่ต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัดและสม่ำเสมอ ประกอบด้วย การเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% จากลูกค้าทุกครั้งที่มีการขายสินค้าหรือบริการ และต้อง "ออกใบกำกับภาษี" (Tax Invoice) ที่ถูกต้องตามรูปแบบที่กรมสรรพากรกำหนดให้แก่ผู้ซื้อ 


นอกจากนี้ยังมีหน้าที่ต้องจัดทำ "รายงานภาษีซื้อ" และ "รายงานภาษีขาย" เพื่อสรุปธุรกรรมในแต่ละเดือน และหน้าที่ที่สำคัญที่สุดคือการ "ยื่นแบบแสดงรายการ ภ.พ.30" เพื่อนำส่งภาษีให้กรมสรรพากรเป็นรายเดือน ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป แม้ว่าในเดือนนั้น ๆ จะไม่มีการซื้อขายเกิดขึ้นเลยก็ตาม


วิธีคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มแบบเข้าใจง่าย

หลักการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องนำส่งกรมสรรพากรในแต่ละเดือน ใช้สูตรพื้นฐานคือ

ภาษีขาย – ภาษีซื้อ = ภาษีที่ต้องชำระ (หรือ เครดิตภาษี)

  • ภาษีขาย คือ ภาษีมูลค่าเพิ่มที่เราเรียกเก็บจากลูกค้าตอนขายสินค้า

  • ภาษีซื้อ คือ ภาษีมูลค่าเพิ่มที่เราจ่ายไปตอนซื้อสินค้าหรือบริการจากคู่ค้าที่จดทะเบียน VAT เหมือนกัน


ตัวอย่างกรณีภาษีขายมากกว่าภาษีซื้อ

ในเดือนพฤศจิกายน บริษัท A มียอดขายรวม 300,000 บาท ทำให้มีภาษีขายที่เรียกเก็บจากลูกค้า 7% คิดเป็น 21,000 บาท ในเดือนเดียวกัน บริษัท A ได้ซื้อวัตถุดิบและค่าบริการต่าง ๆ เป็นเงิน 200,000 บาท ซึ่งมีภาษีซื้อที่จ่ายไป 7% คิดเป็น 14,000 บาท

การคำนวณ 21,000 (ภาษีขาย) – 14,000 (ภาษีซื้อ) = 7,000 บาท สรุป บริษัท A ต้องนำเงินภาษีส่วนต่าง 7,000 บาทนี้ ส่งให้กรมสรรพากร



ตัวอย่างกรณีภาษีซื้อมากกว่าภาษีขาย

ในเดือนธันวาคม บริษัท A มียอดขายรวม 100,000 บาท (ภาษีขาย 7,000 บาท) แต่มีการลงทุนซื้อเครื่องจักรใหม่ราคา 150,000 บาท (ภาษีซื้อ 10,500 บาท)

การคำนวณ 7,000 (ภาษีขาย) – 10,500 (ภาษีซื้อ) = -3,500 บาท สรุป ในกรณีนี้ บริษัท A ไม่ต้องชำระภาษีมูลค่าเพิ่ม และมียอดเครดิตภาษี 3,500 บาท ซึ่งสามารถเลือก "ขอคืนเป็นเงินสด" หรือ "ยกยอดไปหักลบกับภาษีขายในเดือนถัดไป" ได้


ช่องทางการยื่นและชำระภาษีมูลค่าเพิ่ม


ช่องทางการยื่นและชำระภาษีมูลค่าเพิ่ม

ผู้ประกอบการสามารถยื่นแบบ ภ.พ.30 และชำระภาษีมูลค่าเพิ่มได้ 2 ช่องทางหลัก

  • ยื่นแบบกระดาษ ที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขาที่สถานประกอบการตั้งอยู่

  • ยื่นแบบออนไลน์ ผ่านระบบ E-Filing ของกรมสรรพากร ซึ่งเป็นวิธีที่สะดวก รวดเร็ว และมักจะได้รับการขยายเวลากำหนดยื่นแบบออกไปอีก 8 วันทำการ


หากไม่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มจะเกิดอะไรขึ้น

หากธุรกิจมีรายรับเกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี แต่ไม่ยอมยื่นจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มให้ถูกต้องตามกฎหมาย เมื่อถูกกรมสรรพากรตรวจสอบพบ จะต้องรับโทษหนักหลายสถาน ทั้งการถูกเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มย้อนหลังเต็มจำนวนตามยอดขายที่เกิดขึ้นจริง โดยไม่สามารถนำภาษีซื้อใด ๆ มาหักลบได้ 

นอกจากนี้ยังมีเบี้ยปรับสูงสุด 2 เท่าของเงินภาษีที่ต้องชำระ และเงินเพิ่มอีก 1.5% ต่อเดือนของยอดภาษีนั้น ๆ ซึ่งอาจส่งผลกระทบขั้นรุนแรงต่อกระแสเงินสดของธุรกิจ


การยกเลิกหรือออกจากระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม

สำหรับผู้ประกอบการที่เคยจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มไปแล้ว แต่ต่อมามีรายรับที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มลดลงจนต่ำกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี กฎหมายอนุญาตให้สามารถยื่นคำขอถอนทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (แบบ ภ.พ.08) ได้ แต่มีเงื่อนไขว่าต้องมีรายรับต่ำกว่าเกณฑ์ 1.8 ล้านบาท ติดต่อกันไม่น้อยกว่า 3 ปี จึงจะสามารถออกจากระบบได้


เคล็ดลับจัดการภาษีมูลค่าเพิ่มให้ถูกต้องและไม่พลาดกำหนด

การบริหารจัดการภาษีมูลค่าเพิ่มให้เป็นระบบและถูกต้องไม่ใช่เรื่องยากหากมีการวางแผนที่ดี เคล็ดลับสำคัญคือการจัดเก็บเอกสารใบกำกับภาษีซื้อและใบกำกับภาษีขายให้เป็นระเบียบครบถ้วน แยกตามเดือนอย่างชัดเจน การใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์ หรือ Erp Software ที่มีมาตรฐานเข้ามาช่วยในการบันทึกข้อมูลและจัดทำรายงานอัตโนมัติ จะช่วยลดความผิดพลาดและประหยัดเวลาได้อย่างมหาศาล และที่สำคัญคือต้องยื่นแบบ ภ.พ.30 ภายในกำหนดเวลาทุกเดือน แม้ว่าเดือนนั้นจะไม่มีธุรกรรมใดๆ เกิดขึ้นก็ตาม


คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

คิดภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ยังไง

มี 2 วิธีหลัก

  • บวกเพิ่มจากราคาสินค้า (VAT Excluded) เช่น สินค้าราคา 100 บาท บวกภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% (100 x 0.07 = 7 บาท) ราคารวมสุทธิคือ 107 บาท

  • ถอดออกจากราคารวม (VAT Included) เช่น สินค้าราคา 107 บาท (ซึ่งรวมภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว) หากต้องการหาตัวภาษีมูลค่าเพิ่ม ให้ใช้สูตร (ราคารวม x 7) / 107 จะได้ (107 x 7) / 107 = 7 บาท


การยื่น ภพ.30 ภายในกี่วัน

ต้องยื่นแบบ ภ.พ.30 สำหรับภาษีมูลค่าเพิ่มของเดือนนั้น ๆ ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป เช่น ภาษีของเดือนมกราคม ต้องยื่นภายในวันที่ 15 กุมภาพันธ์


ยื่นภาษี ภพ.30 ช้าได้กี่วัน

หากยื่นแบบกระดาษต้องยื่นภายในวันที่ 15 เท่านั้น แต่หากยื่นผ่านระบบออนไลน์ (E-Filing) กรมสรรพากรมักจะขยายเวลาให้ช้าได้อีก 8 วันทำการ (รวมเป็นภายในวันที่ 23 ของเดือนถัดไป)


สรุปบทความ

ภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ และเป็นหน้าที่ของผู้ประกอบการที่มีรายได้ถึงเกณฑ์ที่ต้องปฏิบัติตาม การทำความเข้าใจว่าใครต้องจดทะเบียน หน้าที่ที่ต้องทำหลังการจด และวิธีคำนวณที่ถูกต้อง จะช่วยให้ธุรกิจของคุณดำเนินไปอย่างราบรื่น ถูกต้องตามกฎหมาย และหลีกเลี่ยงค่าปรับที่ไม่จำเป็น


MAC-5 Legacy: จัดการภาษีมูลค่าเพิ่มอย่างมืออาชีพ ลดข้อผิดพลาดในการยื่น ภ.พ.30

เราเข้าใจดีว่าความซับซ้อนของการจัดการภาษีมูลค่าเพิ่ม ทั้งการออกใบกำกับภาษี การรวบรวมภาษีซื้อ-ภาษีขาย และการนำส่ง ภ.พ.30 ให้ทันเวลา คือความท้าทายสำคัญที่นักบัญชีและผู้ประกอบการต้องเผชิญในทุกเดือน


ทลายความยุ่งยากของภาษีซื้อ-ภาษีขาย ด้วยระบบบัญชีอัตโนมัติ

ยกระดับการจัดการภาษีของคุณให้เป็นเรื่องง่ายและแม่นยำ ด้วยโปรแกรมบัญชีออนไลน์ หรือ Erp Software สำเร็จรูป รูปแบบ Cloud ERP และ On-Premise ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการมีข้อมูลทางการเงินที่แม่นยำและครบถ้วน

  • ระบบบัญชีแยกประเภทอัตโนมัติ (GL): รวบรวมข้อมูลจากทุกส่วนงาน ทั้งการซื้อ-ขาย, ลูกหนี้ (Account Receivables), เจ้าหนี้ (Account Payables) และคลังสินค้า มาบันทึกบัญชีโดยอัตโนมัติ 

  • มั่นใจเรื่องการยื่นภาษีด้วย E-Tax Invoice: ระบบรองรับการจัดทำและนำส่ง E-Tax Invoice เต็มรูปแบบ พร้อม Service Provider ที่เชื่อมตรงกับกรมสรรพากร ช่วยให้การยื่น ภ.พ.30 ถูกต้องตามระเบียบและลดขั้นตอนการทำงานเอกสาร

  • ควบคุมการเงินและรักษาความถูกต้องของข้อมูล: ป้องกันการแก้ไขข้อมูลที่ปิดไปแล้วด้วย Lock General Ledger Data และบริหารค่าใช้จ่ายย่อยอย่างเป็นระบบผ่านระบบเงินสดย่อย (Petty Cash) สร้างความน่าเชื่อถือสูงสุดให้กับข้อมูล

  • รายงานครบครัน ตอบโจทย์นักบัญชี: ไม่ต้องเสียเวลานั่งทำรายงานเอง เพราะ MAC-5 Legacy มีรายงานหลากหลาย เช่น รายงานการขายรายตัว, รายงานต้นทุนการผลิต, รายงานวิเคราะห์สินค้าไม่เคลื่อนไหว, รายงานอายุลูกหนี้, รายงานบิลค้างรับ และอีกมากมาย พร้อมให้ข้อมูลเชิงลึกแก่ผู้บริหารได้ทันที


สนใจโซลูชัน MAC-5 Legacy ติดต่อเราวันนี้!

หากสนใจบริการ หรือต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโปรแกรมบัญชี ERP MAC-5 Legacy สามารถติดต่อฝ่ายขายผู้เชี่ยวชาญของเราได้เลย

โทรศัพท์: 085-113-4674, 094-854-9296Line ID: @mac5legacy



 
 
 

ความคิดเห็น


bottom of page